สกินแคร์ (skincare) คือ อะไร แบ่งออกเป็นกี่ประเภท

Skincare คือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใช้กับร่างกายแต่ละส่วน มีหลายประเภทด้วยกัน แต่ละประเภททำหน้าที่แตกต่างกันไป แนะนำว่าเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิวและปัญหาผิวต่างๆ เรามาทำความรู้จักผลิตภัณฑ์และเรียงลำดับการลงสกินแคร์ให้ถูกต้องกัน

สกินแคร์ คืออะไร

สกินแคร์ คือผลิตภัณฑ์สำหรับบำรุงดูแลร่างกายส่วนต่างๆ ใช้ได้กับร่างกายทุกส่วนเพื่อให้ผิวหน้าและผิวกายดูมีสุขภาพดี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวฟื้นฟูผิวแห้งกร้าน ตลอดจนปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ และปกป้องผิวจากสิ่งสกปรกภายนอก

สกินแคร์ คือกุญแจสำคัญของการมีสุขภาพผิวที่ดี

อยากมีผิวสุขภาพดี สิ่งสำคัญที่ควรใส่ใจคือการใส่ใจเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะกับตัวเรา ผิวแต่ละประเภทต้องการการดูแลแตกต่างกันไป ควรเลือกสกินแคร์แต่ละประเภทเพื่อการดูแลบำรุงผิวอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดให้ผิวสวยสุขภาพดีขั้นสุด

ลักษณะเด่นของ สกินแคร์คือ เกราะปกป้องผิวหนังจากสิ่งแปลกปลอมภายนอก ทำหน้าที่กักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิว มีผลให้ผิวภายนอกแข็งแรง ดูชุ่มชื้นและกระชับขึ้น ไม่ปล่อยให้สิ่งสกปรกเล็ดลอดเข้าไปในชั้นผิวหนัง ช่วยลดรอยสิว ริ้วรอย และความหมองคล้ำ สกินแคร์เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลปกป้องผิวให้แข็งแรงจากภายนอกและคืนความชุ่มชื้นสู่ภายใน

ประเภทของสกินแคร์

สกินแคร์แบ่งได้ 3 กลุ่มหลัก จุดเด่น สกินแคร์มีอะไรบ้าง มีคุณสมบัติอย่างไร

1.สกินแคร์ปกป้องผิว

สกินแคร์ผสมสารกันแดดและมีสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ เพื่อปกป้องผิวจากมลภาวะที่ผิวกายและผิวหน้าของเราเผชิญมาทั้งวัน ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้ผิวอ่อนแอ สกินแคร์ช่วยเสริมเกราะป้องกันให้ผิวแข็งแรง ผิวเนียนกระชับ ป้องกันผิวจากมลภาวะและฝุ่นควัน ส่วนใหญ่จะมีสารกันแดดด้วย

2.สกินแคร์บำรุงผิว

skincare คือผลิตภัณฑ์ฟื้นบำรุงผิวอย่างเข้มข้น เสริมความเนียนนุ่มชุ่มชื้นและความกระจ่างใส ปลอบประโลมผิวให้ผิวแข็งแรงและริ้วรอยลดเลือนลงอย่างเห็นได้ชัด มีส่วนผสมของไฮยาลูรอนและกลีเซอรีนเพื่อเติมและกักเก็บความชุ่มชื้นในชั้นผิว บำรุงผิวนุ่มอิ่มฟู แลดูสุขภาพดี แข็งแรง ดูเรียบเนียน

3.สกินแคร์รักษาผิว

สกินแคร์ คือผลิตภัณฑ์ที่ช่วยรักษาจุดด่างดำ รักษาสิว ลดเลือนริ้วรอยต่างๆ ปัญหาหน้าหมองคล้ำ ผิวอ่อนแอ มีปัญหาผิวสะสม สกินแคร์จะช่วยผลัดผิวหมองคล้ำอย่างอ่อนโยนแต่ล้ำลึก ทำการผลัดเซลล์ผิวให้ดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมกับฟื้นฟูให้ผิวแข็งแรง สกินแคร์กลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีส่วนผสมวิตามินซีที่ช่วยในเรื่องการลดเลือนจุดด่างดำ ผิวหมองคล้ำ ช่วยปรับให้ผิวดูกระจ่างใส

เนื้อสัมผัสของสกินแคร์ประเภทต่าง ๆ

เนื้อสัมผัสของสกินแคร์แตกต่างกันไปในแต่ละประเภท โดยเรียงตามลำดับการใช้งานตั้งแต่ขั้นตอนการทำความสะอาด ไปถึงขั้นตอนการบำรุง

1.เมคอัฟรีมูฟเวอร์ (Makeup remover)

เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับล้างเครื่องสำอาง ทำความสะอาดผิวก่อนล้างหน้า มีหลายรูปแบบทั้งออยเจลและน้ำ เหมาะสำหรับล้างเครื่องสำอาง ฝุ่นละออง และสิ่งสกปรกได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสบู่ หรือโฟมล้างหน้าเพียงอย่างเดียวล้างออกไม่หมด เมื่อไม่มีเครื่องสำอางตกค้าง ผิวหน้าสะอาด สิวก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

สำหรับเมคอัพรีมูฟเวอร์สามารถแบ่งได้ ดังนี้

• คลีนซิ่งวอเตอร์ ลักษณะเป็นน้ำใสๆ ใช้หยดลงบนสำลีแล้วเช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางบนใบหน้า มีส่วนผสมของน้ำมันอยู่น้อยมาก

• คลีนซิ่งมิลค์ ลักษณะคล้ายกับโลชั่น มีส่วนผสมของน้ำมันช่วยละลายเมคอัพได้ดีและทำความสะอาดเครื่องสำอางล้ำลึกกว่า

• คลีนซิ่งออยล์ ลักษณะเป็นน้ำแต่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบ เหมาะสำหรับนวดวนบนใบหน้าเพื่อล้างเครื่องสำอางกันน้ำ หรือเมคอัพแบบติดทนนาน

• คลีนซิ่งเจล ลักษณะเป็นโลชั่นเหลว สีขุ่น ความเข้มข้นอยู่ระหว่างคลีนซิ่งวอเตอร์และคลีนซิ่งมิลค์ เหมาะสำหรับทำความสะอาดในวันแต่งหน้าเบาๆ

2.คลีนเซอร์ (Cleanser)

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า กำจัดความมัน แบคทีเรีย และสิ่งสกปรกต่าง ๆ ให้ออกไปจากรูขุมขน ช่วยไม่ให้สิ่งสกปรกอุดตันบนผิวหน้า

• สบู่ก้อน ชำระล้างผิวหน้าสะอาดหมดจด ข้อเสียคือค่า pH สูง ทำให้ผิวหน้าแห้งหลังล้าง ขาดความชุ่มชื้น ไม่เหมาะกับผิวบอบบางแพ้ง่าย และผิวแห้ง

• เจลล้างหน้า เจลใสคล้ายสบู่เหลว ให้ความชุ่มชื้นได้มากกว่าโฟมล้างหน้าและสบู่ล้างหน้า ใช้ชำระล้างสิ่งสกปรกและความมันบนใบหน้าได้ดี เหมาะกับคนผิวมัน ผิวเป็นสิว และผิวผสม

• โฟมล้างหน้า เนื้อโฟมนุ่ม ล้างสิ่งสกปรกได้ดี มีหลายสูตรให้เลือก เช่น รักษาสิว ควบคุมความมัน เพิ่มความขาวกระจ่างใส

3.โทนเนอร์ (Toner)

โทนเนอร์ทำหน้าที่ขจัดสิ่งตกค้างบนรูขุมขนในขั้นตอนสุดท้าย และเตรียมความพร้อมให้ผิว สำหรับรับการบำรุงจากสกินแคร์ในขั้นตอนต่อไป มีลักษณะเป็นเนื้อโซลูชั่น มีทั้งแบบ โซลูชั่นแบบน้ำ (Aqueous Solution) โซลูชั่นแบบแอลกอฮอล์ (Hydroalcoholic Solution)

4.เอสเซ้นส์ (Essence)

เอสเซ้นส์ หรือที่เรียกกันว่า “น้ำตบ” เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าในขั้นตอนแรก ลักษณะเป็นโซลูชั่นแบบน้ำที่ซึมเข้าสู่ผิวง่าย เนื้อสัมผัสใกล้เคียงกับโทนเนอร์

5.เซรั่ม (Serum)

เซรั่มเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใช้ตามหลังเอสเซ้นส์ จุดเด่นของเซรั่มคือเนื้อเข้มข้นกว่าเอสเซ้นส์ มีสารบำรุงผิวมากกว่า และดูแลปัญหาผิวเฉพาะจุดได้ดีกว่า

6.อิมัลชัน (Emulsion)

อิมัลชัน หรือเรียกว่า มอยเจอร์ไรเซอร์ เกลี่ยง่าย ใช้บำรุงผิวเพิ่มความกระจ่างใส แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ อิมัลชันเนื้อครีมที่ความเข้มข้นมาก และอิมัลชันเนื้อโลชั่นที่เข้มข้นน้อยกว่า ไม่เหมาะกับคนผิวมัน

7.โลชั่น (Lotion)

โลชั่นเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่มีเนื้อเข้มข้นกว่าอิมัลชัน เพราะมีน้ำมันเป็นส่วนผสมมากกว่า เนื้อโลชั่นเกลี่ยง่าย ใช้เคลือบผิวชั้นนอกให้นุ่มชุ่มชื้น

8.ครีม (Cream)

เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมมาก เพราะคงความชุ่มชื้นให้ผิวได้นานกว่า มีส่วนผสมของน้ำมันเยอะที่สุด เนื้อสัมผัสจะให้ความรู้สึกที่หนัก หรือทาแล้วเนื้อหนากว่าโลชั่น

9.ครีมกันแดด (Sunscreen)

ผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดด ใช้เป็นขั้นตอนสุดท้ายในช่วงเช้า มีให้เลือกทั้งแบบสเปรย์ เนื้อโลชั่น เนื้อน้ำมัน และเนื้อครีม

วิธีเลือกสกินแคร์ให้เหมาะกับแต่ละสภาพผิว

การเลือกสกินแคร์ให้เหมาะสมกับสภาพผิว ควรรู้จักผิวขอตัวเองก่อนว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร มีปัญหาตรงไหนที่ควรแก้ไข หรือป้องกัน โดยแบ่งตามลักษณะของผิว ดังนี้

ผิวแห้ง (Dry Skin)

ผิวแห้งแตกง่าย ลอกเป็นขุย ผิวขาดน้ำ หลังล้างหน้าจะรู้สึกว่าผิวหน้าตึงและเมื่อปาดลงบนผิวจะรู้สึกถึงความฝืด บางครั้งมีอาการคัน แสบ แดง ระคายเคืองได้ง่าย ควรเลือกสกินแคร์เนื้อสัมผัสแบบบาล์ม หรือน้ำมัน ช่วยเคลือบผิวกักเก็บความชุ่มชื้น พร้อมสมานผิวที่แห้งลอกเป็นขุยโดยไม่รู้สึกระคายเคือง

ผิวมัน (Oily Skin)

ผิวมัน โดยเฉพาะบริเวณทีโซน คือ บริเวณหน้าผาก จมูก และคาง มักเกิดปัญหาเรื่องสิวบริเวณที่มีรูขุมขนกว้างและผิวมันมากกว่าปกติ มีปัญหาเรื่องสิวเสี้ยนและเป็นสิวง่าย ควรเลือกสกินแคร์เนื้อสัมผัสบางเบาและซึมง่าย แนะนำให้เลือกเจล โลชั่น และโซลูชั่นแบบน้ำ รวมทั้งมอยเจอร์ไรเซอร์ควบคุมความมันเพื่อลดโอกาสการเกิดสิว พร้อมลดรอยสิวและลดการระคายเคืองด้วย

ผิวผสม (Combination Skin)

มีทั้งบริเวณทีโซนที่ผิวมัน คือบริเวณหน้าผากและจมูกที่เกิดสิวได้ง่าย ส่วนบริเวณผิวแห้ง ลอกเป็นขุย คือรอบดวงตา ข้างแก้มและคาง ควรเลือกสกินแคร์แบบเจล โลชั่น และโซลูชั่นแบบน้ำเพื่อใช้บริเวณทีโซน และใช้สกินแคร์เนื้อบาล์ม และโซลูชั่นแบบน้ำมันตรงบริเวณผิวแห้ง เลือกใช้ผลิตภัณฑ์เนื้อบางเบาเพื่อลดปัญหาใหญ่ของผิวผสมคือผิวหมองคล้ำได้ง่าย

ผิวแพ้ง่าย (Sensitive Skin)

เป็นผิวบอบบางที่ไวต่อสารเคมี มลภาวะ ฝุ่นควัน และแสงแดด ผิวเป็นสิวง่ายและเป็นผื่นง่าย บางครั้งอาจมีอาการแสบ แดง คัน และอักเสบด้วย ควรเลือกสกินแคร์สำหรับผิวแพ้ง่ายโดยตรง เน้นไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ จะเป็นผลิตภัณฑ์โซลูชั่น อิมัลชัน หรือเนื้อครีมก็ได้ ช่วยฟื้นฟูบำรุงผิวให้แข็งแรง เป็นเกราะปกป้องผิวช่วยลดปัญหาระคายเคืองและผื่นแดง

ผิวธรรมดาทั่วไป (Normal Skin)

เป็นผิวสุขภาพดี มีความสมดุล คือไม่แห้งและไม่มันเกินไป ผิวมีลักษณะเรียบเนียน กระจ่างใส รูขุมขนเล็กละเอียด ไม่ค่อยพบปัญหาผิว เลือกสกินแคร์สำหรับผิวธรรมดา เนื้อเจลใส บางเบา ซึมง่าย ช่วยปรับสภาพผิวให้ชุ่มชื้นและสว่างกระจ่างใส ช่วยเสริมความแข็งแรงให้ผิวดูอ่อนเยาว์เสมอ

ลำดับขั้นตอนการใช้สกินแคร์ที่ถูกต้อง

การเรียงลำดับการลงสกินแคร์ก่อนหลังเป็นเรื่องสำคัญ การใช้ตามขั้นตอนที่ถูกต้องจะช่วยให้สกินแคร์ซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังได้ดีกว่าและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

1. ลำดับแรกคือใช้เมคอัฟรีมูฟเวอร์ ล้างเครื่องสำอางออกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

2. ล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์ ล้างขจัดสิ่งสกปรกที่ยังหลงเหลืออยู่และความมันส่วนเกินออก

3. ซับหน้าพอหมาด ๆ แล้วเช็ดด้วยโทนเนอร์ปรับสภาพผิวและเปิดรูขุมขนให้พร้อมสำหรับการบำรุงขั้นต่อไป

4. ใช้เอสเซ้นส์ 3-4 หยด ใช้ตบผิวเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

5. ตามด้วยเซรั่มเนื้อเหลวเพื่อฟื้นบำรุงแก้ไขปัญหาผิวเฉพาะจุดได้โดยตรง ปรับสีผิวให้สว่างกระจ่างใส ลดจุดด่างดำและลดฝ้ากระ

6. ปิดท้ายด้วยการทาครีมกันแดดสำหรับตอนเช้า

หากเป็นกลางคืนให้ทาครีมบำรุงรอบดวงตาถัดจากเซรั่ม ตามด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์เติมความชุ่มชื้นให้ผิวในตอนกลางคืน ถ้าเป็นผิวมันให้เลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อเจลบำรุงผิว อาจใช้สลีปปิ้งมาสก์ด้วยก็ได้ จะช่วยล็อคความชุ่มชื้นให้ผิวเรียบเนียนยิ่งขึ้น

ขั้นตอนง่ายๆ

สำหรับดูแลผิวคือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ให้เหมาะกับสภาพผิว รวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์แต่ละตัวที่เรียงลำดับความเข้มข้นจากน้อยไปมาก จะช่วยให้การบำรุงผิวหน้ามีประสิทธิภาพและให้ผลลัพธ์ที่ดี สิ่งสำคัญอีกสิ่งคือควรทำความสะอาดผิวได้สะอาดหมดจดเพื่อช่วยบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้นและขาวกระจ่างใสขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ